19/12/54

โรคไข้หวัดใหญ่

บทนำ
       โรคไข้หวัดเป็นโรคติดต่อที่ระบาดได้ง่ายและรวดเร็ว (นายแพทย์ หลินอิงชัน:2553) ได้กล่าวไว้ว่า   มีความหลากหลายและมีอัตรายแฝงอยู่ เช่น ไข้หวัดธรรมดา ไข้หวัดใหญ่ และไข้หวัดนก มักจะระบาดในช่วงฤดูหนาว ซึ่งเป็นอันตรายต่อเด็กและผู้สูงอายุที่มีความต้านทานต่ำ โดยส่งผลกระทบถึงการสูญเสียต่างๆ เช่น ชีวิต ภาวะสุขภาพ รวมทั้งเศรษฐกิจอย่างมากมายทั้งส่วนตัว  ครอบครัว  และประเทศชาติ ในการดูแลรักษาผู้ป่วยเมื่อเกิดการระบาด แต่โรคไข้หวัดใหญ่ก็เป็นโรคที่ป้องกันได้ง่ายเช่นกัน และสามารถปฎิบัติได้ด้วยตนเอง โดยมีหลักการสำคัญ ได้แก่ การดูแลสุขภาพตนเองให้แข็งแรง มีภูมิคุ้มกันต่อโรค หมั่นล้างมือบ่อยๆ และเมื่อป่วยเป็นโรคไข้หวัดใหญ่ต้องป้องกันตนเองไม่ให้เชื้อโรคแพร่กระจายสู่คนอื่น เช่น กินยา สวมหน้ากากอนามัย หรือใช้ผ้าปิดปาก ปิดจมูก เมื่อไอ หรือจามขณะอยู่ในที่สาธารณะหรือที่แออัด เป็นต้น
       โรคไข้หวัดใหญ่มีการแพร่ระบาดในประเทศไทย(กองบรรณาธิการมติชน:2552) ได้กล่าวไว้ว่า  เริ่มจาก ไข้หวัดใหญ่สเปน โดยพบการแพร่ระบาดครั้งแรกที่เมืองปัตตานีและสงขลาและเริ่มระบาดหนักในเมืองที่ติดต่อกับชาวต่างชาติ เช่น กรุงเทพมหานคร และไข้หวัดฮ่องกงได้แพร่ระบาดตามมาหลังจากผู้ป่วยที่เป็นกลุ่มนักศึกษาแพทย์ ที่ปฮ่องกงและกลับมาด้วยอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2511 และเข้ารักษาที่โรงพยาบาลศิริราช  ตามด้วยไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ซึ่งเป็นชนิดใหม่ ชนิด A H1N1และมีผู้เสียชีวิตจากไข้หวัดสายพันธุ์นี้เป็นชาวใต้หวัน   จึงเป็นข่าวที่ผู้คนทุกคนให้ความสำคัญมากที่สุด  และการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่ได้เริ่มแพร่ระบาดอีกรอบหลังจากมีการกลายพันธุ์ของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ต่างๆเกิดขึ้น
        โรคไข้หวัดใหญ่ (www.wikipedia.org/wiki) ได้กล่าวไว้ว่า  เกิดจากไวรัสมีชื่อว่า “Influenza virus” เชื้อนี้จะอยู่ในน้ำมูกหรือน้ำลายและเสมหะของผู้ป่วย โดยติดต่อจากการไอหรือจามและการสัมผัสถูกของเครื่องใช้ที่ปนเปื้อนเป็นโรคระยะฟักตัว 1-4 วัน เชื้อไข้หวัดใหญ่มีอยู่ 3 ชนิด เรียกว่า ชนิด A,B และ C ซึ่งแต่ละชนิดยังแบ่งออกเป็นพันธุ์ย่อยๆไปอีกมากมาย ในการเกิดโรคแต่ละครั้งจะเกิดจากสายพันธุ์ย่อยๆเพียงพันธุ์เดียวเท่านั้น  ซึ่งเป็นแล้วจะมีภูมิคุ้มกันต่อพันธุ์นั้น เชื้อไข้หวัดใหญ่บางพันธุ์อาจผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันทำให้เกิดการระบาดใหญ่และมีการเรียกชื่อโรคระบาดแต่ละครั้งตามชื่อประเทศที่เป็นแหล่งต้นกำเนิด เช่น ไข้หวัดใหญ่เอเซีย เป็นต้น


1.สาเหตุของการเกิดไข้หวัดใหญ่
  (www.wikipedia.org/wiki วันที่ 24/07/2554 เวลา 16:30.) ได้กล่าวไว้ว่า  เกิดจากเชื้อไข้หวัดใหญ่ ซึ่งเป็นไวรัสที่มีชื่อว่า “Influenza virus” เชื้อนี้จะอยู่ใน น้ำมูก  น้ำลาย  หรือเสมหะของผู้ป่วย โดยติดต่อจากการไอหรือจาม หรือ การสัมผัสถูกมือของเครื่องใช้เปื้นปนโรค ระยะฟักตัวประมาณ 1-4 วัน เชื้อไข้หวัดใหญ่มีอยู่ 3 ชนิด คือ ชนิด a,b และ c ซึ่งแต่ละชนิดยังแบ่งเป็นพันธุ์ย่อยๆ ไปอีกมากมาย ในการเกิดโรคแต่ละครั้งจะเกิดจากพันธุ์ย่อยๆเพียงพันธุ์เดียว  ซึ่งเป็นแล้วจะมีภูมิคุ้มกันต่อพันธุ์นั้น เชื้อไข้หวัดใหญ่บางพันธุ์อาจผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันทำให้เกิดการระบาดใหญ่และมีการเรียกชื่อโรคที่ระบาดแต่ละครั้งตามชื่อประเทศนั้นที่เป็นแหล่งต้นกำเนิด
2.การระบาดของไขหวัดใหญ่ทั่วโลก
   (www.wikipedia.org/wiki วันที่ 24/07/2554 เวลา 16:30.) ได้กล่าวไว้ว่า     การระบาดใหญ่เกิดขึ้นจากอุบัติของไวรัสชนิดใหม่ ซึ่งเรียงลำดับได้ดังนี้
..2416 – 2462 (..1918 - 1919) ไวรัสไข้หวัดใหญ่ A ชนิดย่อย H1N1 มีชื่อว่า ไข้หวัดใหญ่สเปน (spainish fiu) เป็นการระบาดทั่วโลกครั้งร้ายแรงที่สุดคร่าชีวิต
..2500 – 2501 (..1957 - 1958) ไวรัสไข้หวัดใหญ่ A ชนิดย่อย H2N2 มีชื่อว่าไข้หวัดใหญ่เอเซีย (Asian flu) เริ่มที่ตะวันออกไกลก่อนระบาดไปทั่วโลก  ในสหรัฐอเมริกาการระบาดครั้งนี้สามารถตรวจพบและจำแนกเชื้อได้รวดเร็วและผลิตวัคซีนออกมาฉีดป้องกันได้ทันจึงมีผู้เสียชีวิตไม่มากนัก
2.1การระบาดของไข้หวัดใหญ่ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันสามารถเรียงลำดับการแพร่ระบาด  ได้ดังนี้
(กองบรรณาธิการมติชน: 2552) ได้กล่าวไว้ว่า
-                   ไข้หวัดใหญ่รัฐเซีย (Russian flu)
 ระบาดครั้งแรกใน พ..2432 – 2433 (..1890 - 1891) มีไข้หวัดใหญ่ระบาดไปทั่วโลกอย่างรุนแรง พิษของไขหวัดใหญ่นี้ทำให้มีผู้เสียชีวิตเฉพาะในทวีปยุโรป

-                   ไข้หวัดใหญ่สเปน (Spainish flu)
ระบาดครั้งแรกใน พ..2461 – 2462 (..1918 - 1919) เป็นการระบาดของไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิด A  H1N1 ไข้หวัดใหญ่สเปนถือเป็นไข้หวัดที่ระบาดรุนแรงที่สุดในโลก มีการระบาดหลายประเทศไปทั่วโลกและระบาดยาวนานต่อเนื่องกัน 18 เดือน
-                   ไข้หวัดใหญ่เอเซีย(Asia flu)
ระบาดครั้งแรกใน พ..2500 – 2501(..1957 – 1958) ทางตอนเหนือของจีน เป็นการระบาดของไข้หวัดใหญ่ชนิด A H2N2 พบการระบาดครั้งแรกที่วลาดิวสต็อก ประเทศรัฐเซีย จากนั้นการระบาดสู่ประเทศแถบมหาสมุทรแปซิฟิก เช่น ฮ่องกง สิงคโปร์ ญี่ปุ่น ไต้หวัน ฟิลิปปินส์ ไทย และลามไปทั่วโลก
-                   ไข้หวัดใหญ่ในสหรัฐอเมริกา
พบการระบาดครั้งแรกใน พ..2519  (..1957) ที่สหรัฐอเมริกาเป็นการระบาดของไวรัสไข้หวัดใหญ่ ชนิด H1N1 ซึ่งมีโครงสร้างคล้ายเชื้อไวรัสที่พบในสุกร (Swine flu)
-                   ไข้หวัดใหญ่ฮ่องกง (Hong kong flu)
พบการระบาดครั้งแรกใน พ.. 2511 – 2512 (..1968 - 1969) มีรายงายผู้ป่วยรายแรกเป็นชาวฮ่องกง เป็นการระบาดของไวรัสไข้หวัดใหญ่ ชนิด A H3N2 การระบาดครั้งนี้ได้แพร่วงกว้างไปยังเวียดนาม สิงคโปร์ อินเดีย ฟิลิปปินส์ ออสเตรเรีย ญี่ปุ่น ยุโรป แอฟริกา อเมริกาใต้ 
-                   ไข้หวัดใหญ่รัสเซีย (Russian flu)
พบการระบาดครั้งแรกใน พ..2519 – 2521 (..1976 - 1978) ที่ประเทศรัฐเซียในปัจจุบันเป็นไวรัสไข้หวัดใหญ่ ชนิด H1N1 หรือ ไข้หวัดสเปนนั้นเอง ถือเป็นการระบาดของไวรัสชนิดนี้เป็นครั้งที่ 2 หลังจากเกิดการระบาดเมื่อ 58 ปี ก่อนหน้านั้น การระบาดของไข้หวัดใหญ่รัฐเซียครั้งนี้จัดอยู่ในระดับกลาง จากกนั้นระบาดไปยังเกาะไต้หวัน กรุงมนิลา ประเทศฟิลิปปินส์และประเทศอังกฤษ
-                   ไข้หวัดนก
พบระบาดครั้งแรกใน พ..2546 (..2003) โดยองค์การอนามัยโลประกาศว่า พบไข้หวัดใหญ่ชนิด H5N1 เป็นสายพันธุ์ใหม่ล่าสุดในทวีปเอเซีย มีพิษรุนแรงกว่าเชื้อไข้หวัดนกในอดีต ผู้ติดเชื้อมีความรุนแรงใกล้เคียงกับไข้หวัดใหญ่สเปน การแพร่ระบาดครั้งนี้ทำให้ชาวโลกเกิดความหวั่นวิตกมาก
-                   ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009
องค์การอนามัยโลกได้รายงานการระบาดของโรงปอดบวมในประเทศเม็กซิโก ตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคม 2552 (..2009) และมีความรุนแรงมากขึ้นในเดือนเมษายน พบผู้เสียชีวิตรายแรกเมื่อวันที่ 17 เมษายน พ.. 2552

2.2สำหรับประเทศไทยมีการแพร่ระบาดโรคไข้หวัด ดังนี้
(กองบรรณาธิการมติชน:2552)ได้กล่าวไว้ว่า
            1.ไข้หวัดใหญ่สเปน (Spainish flu)
    กลับมาแพร่ระบาดในประเทศไทย โดยพบการระบาดครั้งแรกที่เมืองปัตตานีและสงขลา และเริ่มระบาดหนักในที่ที่เป็นท่าเรือซึ่งมีการติดติอกับชาวต่างชาติ  โดยเฉพาะกรุงเทพมหานครมีผู้เสียชีวิตมากที่สุดและการระบาดครั้งนี้ไทยได้ใช้เงินงบประมาณ 100,000 เพื่อรักษาและป้องกันโรค โดยจ่ายค่าแอสไพริน ควินิน และยาไทยให้กับผู้ป่วยโดยจ่ายผ่านทางสถานีตำรวจและศาลาวัด
2.ไข้หวัดใหญ่ฮ่องกง (Hong kong flu)
    ไข้หวัดใหญ่ฮ่องกงได้เริ่มระบาดลามมาถึงประเทศไทยหลังระบาดในฮ่องกงมาแล้ว 2 เดือน โดยพบผู้ป่วยกลุ่มแรกเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม พ..2511
3.ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009
    ประเทศไทยมีการแพร่ระบาดไข้หวัดใหญ่สายพันุ์ใหม่ ชนิด A H1N1 เช่นกัน และมีการระบาดในสถานบันเทิงเขตเทศบาลพัทยา จังหวัด ชลบุรี โดยมีรายงายว่า พบนักท่องเที่ยวชาวใต้หวันกลุ่มหนึ่งซึ่งป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ชนิด A H1N1 หลังกลับจากไปเที่ยวสถานบันเทิง
3.ความแตกต่างระหว่างไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่
   (www.wikipedia.org/wiki วันที่ 24/07/2554 เวลา 16:30.) ได้กล่าวไว้ว่า    
                           ไข้หวัด         - เป็นการติดเชื้อไวรัสซึ่งมี 5 กลุ่มใหญ่ ผู้ป่วยจะมีอาการทั่วไป ได้แก่
                       น้ำมูกไหล   คัดจมูก และมีไข้สูงมาก

ไข้หวัดใหญ่ เป็นการติดเชื้อ Influenza virus อัตราการเสียชีวิตจากการติดเชื้อนี้
                        ส่วนมากมักจะเกิดขึ้นในกลุ่มที่มีอายุมากกว่า 60 ปี หหรือผู้ที่มีโรค
                        ประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคปอด โรคเบาหวาน เป็นต้น
  4.อาการของโรคไข้หวัดใหญ่
 (www.wikipedia.org/wiki วันที่ 24/07/2554 เวลา 16:30.) ได้กล่าวไว้ว่า    
      มักจะเกิดขึ้นทันทีทันใดด้วยอาการ ไข้สูง ตัวร้อน หนาว ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อมากโดยเฉพาะที่หลัง ต้นขาและต้นแขน ปวดศรีษะ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ขมในคอ คัดจมูก มีน้ำมูกใสๆ
ไอแห้งๆ จุกแน่นท้อง แต่บางรายอาจไม่มีอาการคัดจมูกหรือเป็นหวัดเลย มีข้อสังเกตว่า  ไข้หวัดใหญ่มักเป็นหวัดน้อย แต่วัดที่น้อยมักเป็นหวัดที่นานมาก ไข้มักเป็นอยู่ 2-4 วัน แล้วค่อยๆลดลง อาการไอและอ่อนเพลีย อาจเป็น 1-4 สัปดาห์ แม้ว่าอาการอื่นๆจะหายลงแล้ว บางรายเมื่อหายจากไข้หวัดใหญ่แล้วมีอาการเวียนศรีษะ เมารถเมาเรือ เนื่องจากการอักเสบของอวัยวะการทรงตัวในหูชั้นใน ซึ่งมักจะหายเองได้ใน 3-5 วัน

 4.1อาการไข้หวัดใหญ่ที่ไม่มีโรคแทรกซ้อน   
(www.wikipedia.org/wiki วันที่ 24/07/2554 เวลา 16:30.) ได้กล่าวไว้ว่า    
              -      ระยะฟักตัว 1-4 วัน โดยเฉลี่ย 2วัน
-                   ผู้ป่วยจะมีอาการอ่อนเพลียอย่างเฉียบพลัน
-                   เบื่ออาหาร คลื่นไส้
-                   ปวดศรีษะอย่างรุนแรง
-                   ปวดตามแขน ปวดข้อ ปวดรอบตา
-                   ไข้สูง 39-40 องศาเซลเซียล
-                   เจ็บคอ และ คอแดง มีน้ำมูกใสๆไหล
-                   ไอแห้งๆ
-                   ตามตัวจะร้อน แดง และ ตาแดง
-                   อาการอาเจียนหรือท้องเดิน



4.2อาการไข้หวัดที่มีอาการแทรกซ้อน
(www.wikipedia.org/wiki วันที่ 24/07/2554 เวลา 16:30.) ได้กล่าวไว้ว่า    
             -      อาจพบการอักเสบของเยื้อมหุ้มหัวใจ ผู้ป่วยอาจมีอาการเจ็บหน้าอก หรือ หัวใจวาย ผู้ป่วยจะเหนื่อยหอบ
-                   ระบบประสาท พบเยื้อมหุ้มสมองอักเสบและสมองอักเสบ ผู้ป่วยจะซึมและปวดศรีษะอย่างรุนแรง
-                   โดยทั่วไปไข้หวัดใหญ่มักจะหายในไม่กี่วัน แต่ก็มีผู้ป่วยบางรายมีอาการไอ และปวดตามตัวนาน 2 สัปดาห์ ส่วนผู้เสียชีวิตมักจะเกิดจากปอดบวม และโรคหัวใจหรือโรคที่ผู้ป่วยเป็นอยู่ ณ. ตอนนั้น

4.3อาการแทรกซ้อน
(www.wikipedia.org/wiki วันที่ 24/07/2554 เวลา 16:30.และ นายแพทย์ หลินอิงชัน: 2553) ได้กล่าวไว้ว่า    
        ส่วนมากมักจะหายได้เองโดยไม่มีภาวะแทรกซ้อน ภาวะแทรกซ้อนจะเกิดขึ้นเป็นส่วนน้อยที่พบได้บ่อย คือ ไซนัสอักเสบ หูชั้นกลางอักเสบ หูชั้นในอักเสบ หลอดลมอักเสบ ภาวะที่สำคัญ คือ ปอดอักเสบ ซึ่งมักจะเกิดจากแบคทีเรียพวกนิวโมค็อกคัส หรือ สเตฟฟิโลค็อกคัส
โรคไข้หวัดทำให้เกิดอาการแทรกซ้อน ดังนี้
1.             หลอดลมอักเสบ
มีไข้ติดต่อกันนาน 5 วันขึ้นไป หายใจไม่สะดวก หายใจหอบ หลอดลมอักเสบมักไม่รุนแรง แต่ต้องระวังอย่าให้กลายเป็นหลอดลมอักเสบเรื้องรัง

2.             หูชั้นกลางอักเสบ
หูเชื่อมต่อกับคอโดยผ่านท่อจมูกคอ (Nasocrymal duct) ดังนั้น เมื่อคออักเสบแล้วสูดน้ำมูก เชื้อโรคอาจกระจายไปสู่หูชั้นกลางทำให้เกิดการอักเสบได้


3.             ไซนัสอักเสบ
มักเกิดหลังเป็นไข้หวัด เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อน  ซึ่งเป็นการอักเสบของเยื้อเมือกในไซนัส ซึ่งก็คือโพรงจมูก  มักมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหลย้อน การได้กลิ่นลดน้อยลง  โดยพื้นฐานไม่ใช่โรคที่รุนแรงแต่ควรระวังไม่ให้กลายเป็นไซนัสอักเสบเรื้องรัง
4.             ต่อมทอนซิลเป็นหนอง
เมื่อเป็นหวดมักมีอาการเจ็บคอ หากรุนแนงจะเกิดต่อมทอนซิลเป็นหนองทำมห้เกิดอาการเจ็บคอ มีไข้ หากต่อมทอนซิลอักเสบเป็นหนองเกิดจากเชื้อสเตรปโตคอกคัส (Streptococus) อาจทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนอย่างโรคหัวใจรูมาติกและไตอักเสบ
5.             ปอดอักเสบ
เป็นการติดเชื้อของทางเดินหายใจส่วนล่างที่ถุงลมปอดหรือเซลล์ ซึ่งทำหน้าที่แลกเปลี่ยนอากาศ  อาการปอดอักเสบรุนแรงมักจะมีอาการหนาวสั่น เหงือออก มีไข้สูงกว่า 40 องศาเซลเซียส เจ็บหน้าอกเวลาหายใจ มักป่วยนานเนื่องจากไม่มียาที่รักษาได้ผล
6.             สมองอักเสบ
โรคไข้หวัดที่ทำให้สมองอักเสบมีอัตราไม่สูง สมองอักเสบทำให้มีไข้ ปวดศรีษะรุนแรง อาเจียน คอแข็ง การทำงานของระบบประสาทลดลง เนื่องจากสมองอักเสบมีกเกิดจากเชื้อไวรัสจึงไม่มียารักษาได้ผล
7.             กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบเฉียบพลัน
โรคไข้หวัดที่ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจเฉียบพลันพบไม่บ่อย แต่เมื่อเกิดขึ้นจะมีอาการรุนแรงมาก กล้ามเนื้อหัวใจเฉียบพลันส่วยใหญ่เกิดจากไวรัวเข้าสู่กล้ามเนื้อหัวใจ มีอาการหายใจเร็ว หายใจลำบาก เจ็บหน้าอก ขั้นรุนแรงอาจเกิดอาการช็อคหรือทำให้เสียชีวิตได้ ผู้ป่วยบา งรายอาจรอดชีวิตได้ด้วยการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ






5.การติดต่อ
(www.wikipedia.org/wiki วันที่ 24/07/2554 เวลา 16:30.) ได้กล่าวไว้ว่า    
เชื้อนี้จะติดต่อง่าย  และการติดต่อสามารถติดต่อได้โดย
-                   เชื้อสามารถติดต่อจากคนหนึ่งไปอีกคนหนึ่งโดยการหายใจ ได้รับน้ำมุก เสมหะ ของผู้ป่วยโดยผ่านเข้าทางเยื้อบุตา จมูก และปาก
-                   การที่คนได้สัมผัสสิ่งปนเปื้อนเชื้อโรค เช่น ผ้าเช็ดหน้า แก้วน้ำ เป็นต้น
-                   การที่มือไปสัมผัสเชื้อแล้วขยี้ตา หรือ นำเข้าปาก
5.1ระยะติดต่อ
(www.wikipedia.org/wiki วันที่ 24/07/2554 เวลา 16:30.) ได้กล่าวไว้ว่า    
         ระยะเวลาที่ติดต่อคน คือ 1 วันก่อนเกิดอาการ 5 วันหลังจากมีอาการ ในเด็กอาจมีการแพร่เชื้อ 6 วัน ก่อนมีอาการและแพร่เชื้อได้นาน 10 วัน
6.การรักษา
(www.wikipedia.org/wiki วันที่ 24/07/2554 เวลา 16:30.) ได้กล่าวไว้ว่า    
              -      ลดไข้ด้วยยาลดไข้ เช่น paracetamol ไม่ควรให้ aspirin  ในคนที่มีอายุน้อยกว่า 16 ปี เพราะอาจทำให้เกิด Reye syndrome ไม่ควรให้ยาปฎิชีวนะ ถ้าไม่ไอมากอาจซื้อยาแก้ไอรับประทาน
-                   สำหรับผู้ที่เจ็บคออาจใช้น้ำ 1 แก้ว ผสมกับเกลือ 1 ช้อน กลั้วคอ (แต่ห้ามดื่ม)
-                   สำหรับผู้ที่มีอาการคัดจมูกอาจจะใช้ไอน้ำช่วยวิธีง่ายๆ คือ ต้มน้ำร้อนแล้วให้นั่งหน้ากาน้ำเอาผ้าคลุมศรีษะและสูดดมไอน้ำ เพื่อบรรเทาอาการคัดจมูก
-                   อย่าสั่งน้ำมูกแรงๆ เพราะจะทำให้เชื้อลุกลาม
-                   ให้ล้างมือบ่อยๆเมื่อออกนอกบ้าน
-                   สวมผ้าปิดจมูก ป้องกันการแพร่เชื้อไปยังผู้อื่น
-                   ช่วงที่มีการระบาดให้หลีกเลี่ยงจากที่สาธารณะ
-                   ถ้าเริ่มมีอาการระคายคอ ให้จิบน้ำส้มคั้นหรือน้ำมะนาวผสมน้ำผึ้งและเกลือเล็กน้อย
-                   เมื่อเริ่มมีน้ำมูก ให้กินวิตามินซี กกินไปเรื่อยๆจนกระทั่งท้องเสียหรือน้ำมูกแห้ง
6.1การรักษาในโรงพยาบาล
(www.wikipedia.org/wiki วันที่ 24/07/2554 เวลา 16:30.) ได้กล่าวไว้ว่า    
-       ผู้ป่วยที่ขาดน้ำแพทย์จะให้น้ำเกลือ
-                   ผู้ป่วยเหล่านี้ควรได้รับยา amantadine และ rimantadine เพื่อให้หายเร็วและลดความรุนแนงของโรค ยาทั้ง 2 ชนิดนี้ ควรให้ภายใน 24 ชั่วโมง หลังจากเริ่มมีอาการไอและให้ต่ออีก 5-7 วัน (ยานี้ไม่ช่วยลดโรคแทรกซ้อน)
-                   ถ้ามีอาการคัดจมูกแพทย์จะสั่งยาลดน้ำมูก
-                   ถ้าไม่มีโรคแทรกซ้อนก็ไม่ควรให้ยาปฎิชีวนะ
-                   ให้นอนพักผ่อนไม่ควรออกกำลังกาย
6.2การวินิจฉัย
(www.wikipedia.org/wiki วันที่ 24/07/2554 เวลา 16:30.) ได้กล่าวไว้ว่า    
          การวินิจฉัยไข้หวัดใหญ่จะอาศัยประวัติและการตรวจร่างกายเป็นหลักโดยเฉพาะช่วงที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อ
การวินิจฉัยที่แน่นอนทำได้ 2 วิธี คือ
-                   นำไม้พันสำลีมาแหย่ที่คอ หรือ จมูก แล้วนำไปเพาะเชื้อ
-                   เจาะเลือด
¨    ตวรจหาภูมิคุ้มกันต่อเชื้อโดยต้องเจาะ 2 ครั้ง ห่างกัน 2 ชั่วโมงแล้วเปรียบเทียบการเพิ่มของภูมิคุ้มกันต่อเชื้อ
¨    การรวจหา antigen
¨    การตรวจหาโดยวิธี PCR  Imunofluorescent


6.3โรคแทรกซ้อน
(www.wikipedia.org/wiki วันที่ 24/07/2554 เวลา 16:30.) ได้กล่าวไว้ว่า    
       การติดเชื้อแบคทีเรียอาจทำให้ปอดบวม  ฝีในปอด  หนองในช่องเยื้มหุ้มปอด นอกจากนี้ไข้หวัดใหญ่ในหญิงตั้งครรภ์ยังส่งผลต่อมารดามักเป็นชนิดรุนแรงและมีอาการมาก อาจมีผลต่อเด็กอาจทำให้เกิดการแท้งขึ้นได้
7.ข้อแนะนำ
(www.wikipedia.org/wiki วันที่ 24/07/2554 เวลา 16:30.) ได้กล่าวไว้ว่า    
     โรคนี้ไม่ถือว่าเป็นโรคร้ายแรงส่วนมากให้การดูแลตามอาการก็จะหายได้เองภายใน 3-5 วัน ถ้ามีไข้เกิน 7 วัน ควรสงสัยไข้อื่นๆนอกจากไข้หวัด ควรพบแพทย์เพื่อดูแลรักษาต่อไป
7.1การป้องกัน(www.wikipedia.org/wiki วันที่ 24/07/2554 เวลา 16:30.และ นายแพทย์ บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล: 2552) ได้กล่าวไว้ว่า    
-                   ฉีดวัคซีนป้งกัน
-                   ให้ดื่มน้ำส้มคั้นสดๆ วันละ 1-2 แก้ว เป็นประจำ
-                   ล้างมือบ่อยๆ
-                   หลีกเลี่ยงการเอามือเข้าปากหรือขยี้ตา
-                   อย่าใช้สิ่งของส่วนตัวร่วมกับคนอื่น เช่น ผ้าเช็ดตัว เป็นต้น
-                   หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิด เมื่อเวลาเจ็บป่วย
-                   สวมผ้าปิดจมูก เวลาไอ หรือ จาม
-                   ออกกำลังอย่างสม่ำเสมอ




7.2วัคซีน
(กองบรรณาธิการมติชน: 2552) ได้กล่าวไว้ว่า
   การป้องกันที่ดีที่สุด คือ การฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ ซึ่งทำจากวัคซีนที่เป็นเชื้อตายแล้วโดยฉีดที่แขนปีละ 1 ครั้ง หลังฉีด 2 สัปดาห์ภูมิคุ้มกันจะสูงพอป้องกันการติดเชื้อ แต่การฉีดวัคซีนจะเลือกผู้ป่วยที่เสี่ยงต่อเป็นโรคแทรกซ้อน   คือ
§  ผู้ที่มาอายุมากว่า 5 ปี
§  ผู้ที่มีโรคเรื่อรังและโรคประจำตัว
§  ผู้ป่วยโรคเบาหวาน
§  หญิงตั้งครรภ์ 3 เดือนขึ้นไป
§  ผู้อาศัยในบ้านพักคนชรา
§  เจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่ดูแลผู้ป่วยเรื้อรัง
§  สมาชิกในครอบครัวที่เป็นโรคเรื้องรัง
§  ผู้ที่จะไปเที่ยวบังสถานที่ที่มีการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่

7.3ประเภทของวัคซีนที่แบ่งตามวิธีการผลิตมี 3 ประเภท คือ
(กองบรรณาธิการมติชน: 2552) ได้กล่าวไว้ว่า
-                   วัคซีนประเภทท็อกซอยด์
     เป็นการผลิตวัคซีนขึ้นจากการนำพิษของเชื้อโรคมาทำให้หมดฤทธิ์ไป แต่ยังสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ ใช้สำหรับโรคติดเชื้อที่เกิดจากพิษขอเชื้อ ได้แก่ โรคคอตีบ เป็นต้น
-                   วัคซีนจากเชื้อตาย
     หมายถึง วัคซีนที่ผลิตขึ้นโดยใช้เชื้อโรคทั้งคอตีบหรือเฉพาะชิ้นส่วนของเชื้อโรคที่ตายแล้วมาผลิต เช่น วัคซีนตับอักเสบบี วัคซีนไอกรน เป็นต้น

-                   วัคซีนจากเชื้อโรคเป็น
     หมายถึง  วัคซีนที่ผลิตขึ้นโดยใช้เชื้อโรคมาทำให้อ่อนฤทธิ์ลงจนทำให้ไม่เกิดโรค แต่มีแรงพอที่จะกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกายได้ เช่น วัคซีนหัดเยอรมัน  วัคซีนคางทูม  วัคซีนอีสุกอีใส  เป็นต้น

7.4วิธีรับวัคซีนไข้หวัดใหญ่
(นายแพทย์ หลินอิงชัน: 2553) ได้กล่าวไว้ว่า
      วัคซีนไข้หวัดใหญ่สามารถป้องกันได้ประมาณ 1-2 ปี แต่ไวรัสไข้หวัดใหญ่มักจะกลายพันธุ์จึงจำเป็นต้องรับทุกปี
      ระบบภูมิคุ้มกันต้องใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์ ร่างกายจึงจะต้องสร้าง antibody ต่อวัคซีนไข้หวัดใหญ่ขึ้นได้จึงควรรับวัคซีนก่อนเข้าสู่ฤดูระบาดประมาณ  2 สัปดาห์  สำหรับเด็กที่รับวัคซีนเป็นครั้งแรกต้องรับ 2 ครั้ง แต่ละครั้งห่างกัน 1 เดือนขึ้นไป

      บทสรุป
โรคไข้หวัดใหญ่เป็นโรคที่แพร่ระบาดได้ง่ายและก็สามารถรักษาและป้องกันได้ง่ายเช่นกัน  ถ้าเราสามารถรู้สาเหตุ ระยะติดต่อและวิธีป้องกันไข้หวัดใหญ่  เราจะสามารถรักษาและดูแลตัวเองที่บ้านได้อย่างถูกวิธีโดยไม่ต้องพึ่งแพทย์  ซึ่งวิธีง่ายๆที่ดูแลตัวเองที่บ้านได้ก็คือ การออกกำลังกาย เป็นต้น 

   นางสาว วราภรณ์ จาดชนบท  5305110025 คณะ พยาบาลศาสตร์ (NS2) วิทยาเขต กาญจนบุรี