บทนำ
โรคไข้หวัดเป็นโรคติดต่อที่ระบาดได้ง่ายและรวดเร็ว (นายแพทย์ หลินอิงชัน:2553) ได้กล่าวไว้ว่า มีความหลากหลายและมีอัตรายแฝงอยู่ เช่น ไข้หวัดธรรมดา ไข้หวัดใหญ่ และไข้หวัดนก มักจะระบาดในช่วงฤดูหนาว ซึ่งเป็นอันตรายต่อเด็กและผู้สูงอายุที่มีความต้านทานต่ำ โดยส่งผลกระทบถึงการสูญเสียต่างๆ เช่น ชีวิต ภาวะสุขภาพ รวมทั้งเศรษฐกิจอย่างมากมายทั้งส่วนตัว ครอบครัว และประเทศชาติ ในการดูแลรักษาผู้ป่วยเมื่อเกิดการระบาด แต่โรคไข้หวัดใหญ่ก็เป็นโรคที่ป้องกันได้ง่ายเช่นกัน และสามารถปฎิบัติได้ด้วยตนเอง โดยมีหลักการสำคัญ ได้แก่ การดูแลสุขภาพตนเองให้แข็งแรง มีภูมิคุ้มกันต่อโรค หมั่นล้างมือบ่อยๆ และเมื่อป่วยเป็นโรคไข้หวัดใหญ่ต้องป้องกันตนเองไม่ให้เชื้อโรคแพร่กระจายสู่คนอื่น เช่น กินยา สวมหน้ากากอนามัย หรือใช้ผ้าปิดปาก ปิดจมูก เมื่อไอ หรือจามขณะอยู่ในที่สาธารณะหรือที่แออัด เป็นต้น
โรคไข้หวัดใหญ่มีการแพร่ระบาดในประเทศไทย(กองบรรณาธิการมติชน:2552) ได้กล่าวไว้ว่า เริ่มจาก ไข้หวัดใหญ่สเปน โดยพบการแพร่ระบาดครั้งแรกที่เมืองปัตตานีและสงขลาและเริ่มระบาดหนักในเมืองที่ติดต่อกับชาวต่างชาติ เช่น กรุงเทพมหานคร และไข้หวัดฮ่องกงได้แพร่ระบาดตามมาหลังจากผู้ป่วยที่เป็นกลุ่มนักศึกษาแพทย์ ที่ปฮ่องกงและกลับมาด้วยอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2511 และเข้ารักษาที่โรงพยาบาลศิริราช ตามด้วยไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ซึ่งเป็นชนิดใหม่ ชนิด A H1N1และมีผู้เสียชีวิตจากไข้หวัดสายพันธุ์นี้เป็นชาวใต้หวัน จึงเป็นข่าวที่ผู้คนทุกคนให้ความสำคัญมากที่สุด และการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่ได้เริ่มแพร่ระบาดอีกรอบหลังจากมีการกลายพันธุ์ของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ต่างๆเกิดขึ้น
โรคไข้หวัดใหญ่ (www.wikipedia.org/wiki) ได้กล่าวไว้ว่า เกิดจากไวรัสมีชื่อว่า “Influenza virus” เชื้อนี้จะอยู่ในน้ำมูกหรือน้ำลายและเสมหะของผู้ป่วย โดยติดต่อจากการไอหรือจามและการสัมผัสถูกของเครื่องใช้ที่ปนเปื้อนเป็นโรคระยะฟักตัว 1-4 วัน เชื้อไข้หวัดใหญ่มีอยู่ 3 ชนิด เรียกว่า ชนิด A,B และ C ซึ่งแต่ละชนิดยังแบ่งออกเป็นพันธุ์ย่อยๆไปอีกมากมาย ในการเกิดโรคแต่ละครั้งจะเกิดจากสายพันธุ์ย่อยๆเพียงพันธุ์เดียวเท่านั้น ซึ่งเป็นแล้วจะมีภูมิคุ้มกันต่อพันธุ์นั้น เชื้อไข้หวัดใหญ่บางพันธุ์อาจผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันทำให้เกิดการระบาดใหญ่และมีการเรียกชื่อโรคระบาดแต่ละครั้งตามชื่อประเทศที่เป็นแหล่งต้นกำเนิด เช่น ไข้หวัดใหญ่เอเซีย เป็นต้น
1.สาเหตุของการเกิดไข้หวัดใหญ่
(www.wikipedia.org/wiki วันที่ 24/07/2554 เวลา 16:30น.) ได้กล่าวไว้ว่า เกิดจากเชื้อไข้หวัดใหญ่ ซึ่งเป็นไวรัสที่มีชื่อว่า “Influenza virus” เชื้อนี้จะอยู่ใน น้ำมูก น้ำลาย หรือเสมหะของผู้ป่วย โดยติดต่อจากการไอหรือจาม หรือ การสัมผัสถูกมือของเครื่องใช้เปื้นปนโรค ระยะฟักตัวประมาณ 1-4 วัน เชื้อไข้หวัดใหญ่มีอยู่ 3 ชนิด คือ ชนิด a,b และ c ซึ่งแต่ละชนิดยังแบ่งเป็นพันธุ์ย่อยๆ ไปอีกมากมาย ในการเกิดโรคแต่ละครั้งจะเกิดจากพันธุ์ย่อยๆเพียงพันธุ์เดียว ซึ่งเป็นแล้วจะมีภูมิคุ้มกันต่อพันธุ์นั้น เชื้อไข้หวัดใหญ่บางพันธุ์อาจผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันทำให้เกิดการระบาดใหญ่และมีการเรียกชื่อโรคที่ระบาดแต่ละครั้งตามชื่อประเทศนั้นที่เป็นแหล่งต้นกำเนิด
2.การระบาดของไขหวัดใหญ่ทั่วโลก
(www.wikipedia.org/wiki วันที่ 24/07/2554 เวลา 16:30น.) ได้กล่าวไว้ว่า การระบาดใหญ่เกิดขึ้นจากอุบัติของไวรัสชนิดใหม่ ซึ่งเรียงลำดับได้ดังนี้
พ.ศ.2416 – 2462 (ค.ศ.1918 - 1919) ไวรัสไข้หวัดใหญ่ A ชนิดย่อย H1N1 มีชื่อว่า “ไข้หวัดใหญ่สเปน” (spainish fiu) เป็นการระบาดทั่วโลกครั้งร้ายแรงที่สุดคร่าชีวิต
พ.ศ.2500 – 2501 (ค.ศ.1957 - 1958) ไวรัสไข้หวัดใหญ่ A ชนิดย่อย H2N2 มีชื่อว่าไข้หวัดใหญ่เอเซีย (Asian flu) เริ่มที่ตะวันออกไกลก่อนระบาดไปทั่วโลก ในสหรัฐอเมริกาการระบาดครั้งนี้สามารถตรวจพบและจำแนกเชื้อได้รวดเร็วและผลิตวัคซีนออกมาฉีดป้องกันได้ทันจึงมีผู้เสียชีวิตไม่มากนัก
2.1การระบาดของไข้หวัดใหญ่ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันสามารถเรียงลำดับการแพร่ระบาด ได้ดังนี้
(กองบรรณาธิการมติชน: 2552) ได้กล่าวไว้ว่า
- ไข้หวัดใหญ่รัฐเซีย (Russian flu)
ระบาดครั้งแรกใน พ.ศ.2432 – 2433 (ค.ศ.1890 - 1891) มีไข้หวัดใหญ่ระบาดไปทั่วโลกอย่างรุนแรง พิษของไขหวัดใหญ่นี้ทำให้มีผู้เสียชีวิตเฉพาะในทวีปยุโรป
- ไข้หวัดใหญ่สเปน (Spainish flu)
ระบาดครั้งแรกใน พ.ศ.2461 – 2462 (ค.ศ.1918 - 1919) เป็นการระบาดของไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิด A H1N1 ไข้หวัดใหญ่สเปนถือเป็นไข้หวัดที่ระบาดรุนแรงที่สุดในโลก มีการระบาดหลายประเทศไปทั่วโลกและระบาดยาวนานต่อเนื่องกัน 18 เดือน
- ไข้หวัดใหญ่เอเซีย(Asia flu)
ระบาดครั้งแรกใน พ.ศ.2500 – 2501(ค.ศ.1957 – 1958) ทางตอนเหนือของจีน เป็นการระบาดของไข้หวัดใหญ่ชนิด A H2N2 พบการระบาดครั้งแรกที่วลาดิวสต็อก ประเทศรัฐเซีย จากนั้นการระบาดสู่ประเทศแถบมหาสมุทรแปซิฟิก เช่น ฮ่องกง สิงคโปร์ ญี่ปุ่น ไต้หวัน ฟิลิปปินส์ ไทย และลามไปทั่วโลก
- ไข้หวัดใหญ่ในสหรัฐอเมริกา
พบการระบาดครั้งแรกใน พ.ศ.2519 (ค.ศ.1957) ที่สหรัฐอเมริกาเป็นการระบาดของไวรัสไข้หวัดใหญ่ ชนิด H1N1 ซึ่งมีโครงสร้างคล้ายเชื้อไวรัสที่พบในสุกร (Swine flu)
- ไข้หวัดใหญ่ฮ่องกง (Hong kong flu)
พบการระบาดครั้งแรกใน พ.ศ. 2511 – 2512 (ค.ศ.1968 - 1969) มีรายงายผู้ป่วยรายแรกเป็นชาวฮ่องกง เป็นการระบาดของไวรัสไข้หวัดใหญ่ ชนิด A H3N2 การระบาดครั้งนี้ได้แพร่วงกว้างไปยังเวียดนาม สิงคโปร์ อินเดีย ฟิลิปปินส์ ออสเตรเรีย ญี่ปุ่น ยุโรป แอฟริกา อเมริกาใต้
- ไข้หวัดใหญ่รัสเซีย (Russian flu)
พบการระบาดครั้งแรกใน พ.ศ.2519 – 2521 (ค.ศ.1976 - 1978) ที่ประเทศรัฐเซียในปัจจุบันเป็นไวรัสไข้หวัดใหญ่ ชนิด H1N1 หรือ ไข้หวัดสเปนนั้นเอง ถือเป็นการระบาดของไวรัสชนิดนี้เป็นครั้งที่ 2 หลังจากเกิดการระบาดเมื่อ 58 ปี ก่อนหน้านั้น การระบาดของไข้หวัดใหญ่รัฐเซียครั้งนี้จัดอยู่ในระดับกลาง จากกนั้นระบาดไปยังเกาะไต้หวัน กรุงมนิลา ประเทศฟิลิปปินส์และประเทศอังกฤษ
- ไข้หวัดนก
พบระบาดครั้งแรกใน พ.ศ.2546 (ค.ศ.2003) โดยองค์การอนามัยโลประกาศว่า พบไข้หวัดใหญ่ชนิด H5N1 เป็นสายพันธุ์ใหม่ล่าสุดในทวีปเอเซีย มีพิษรุนแรงกว่าเชื้อไข้หวัดนกในอดีต ผู้ติดเชื้อมีความรุนแรงใกล้เคียงกับไข้หวัดใหญ่สเปน การแพร่ระบาดครั้งนี้ทำให้ชาวโลกเกิดความหวั่นวิตกมาก
- ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009
องค์การอนามัยโลกได้รายงานการระบาดของโรงปอดบวมในประเทศเม็กซิโก ตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคม 2552 (ค.ศ.2009) และมีความรุนแรงมากขึ้นในเดือนเมษายน พบผู้เสียชีวิตรายแรกเมื่อวันที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2552
2.2สำหรับประเทศไทยมีการแพร่ระบาดโรคไข้หวัด ดังนี้
(กองบรรณาธิการมติชน:2552)ได้กล่าวไว้ว่า
1.ไข้หวัดใหญ่สเปน (Spainish flu)
กลับมาแพร่ระบาดในประเทศไทย โดยพบการระบาดครั้งแรกที่เมืองปัตตานีและสงขลา และเริ่มระบาดหนักในที่ที่เป็นท่าเรือซึ่งมีการติดติอกับชาวต่างชาติ โดยเฉพาะกรุงเทพมหานครมีผู้เสียชีวิตมากที่สุดและการระบาดครั้งนี้ไทยได้ใช้เงินงบประมาณ 100,000 เพื่อรักษาและป้องกันโรค โดยจ่ายค่าแอสไพริน ควินิน และยาไทยให้กับผู้ป่วยโดยจ่ายผ่านทางสถานีตำรวจและศาลาวัด
2.ไข้หวัดใหญ่ฮ่องกง (Hong kong flu)
ไข้หวัดใหญ่ฮ่องกงได้เริ่มระบาดลามมาถึงประเทศไทยหลังระบาดในฮ่องกงมาแล้ว 2 เดือน โดยพบผู้ป่วยกลุ่มแรกเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ.2511
3.ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009
ประเทศไทยมีการแพร่ระบาดไข้หวัดใหญ่สายพันุ์ใหม่ ชนิด A H1N1 เช่นกัน และมีการระบาดในสถานบันเทิงเขตเทศบาลพัทยา จังหวัด ชลบุรี โดยมีรายงายว่า พบนักท่องเที่ยวชาวใต้หวันกลุ่มหนึ่งซึ่งป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ชนิด A H1N1 หลังกลับจากไปเที่ยวสถานบันเทิง
3.ความแตกต่างระหว่างไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่
ไข้หวัด - เป็นการติดเชื้อไวรัสซึ่งมี 5 กลุ่มใหญ่ ผู้ป่วยจะมีอาการทั่วไป ได้แก่
น้ำมูกไหล คัดจมูก และมีไข้สูงมาก
ไข้หวัดใหญ่ – เป็นการติดเชื้อ Influenza virus อัตราการเสียชีวิตจากการติดเชื้อนี้
ส่วนมากมักจะเกิดขึ้นในกลุ่มที่มีอายุมากกว่า 60 ปี หหรือผู้ที่มีโรค
ประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคปอด โรคเบาหวาน เป็นต้น
4.อาการของโรคไข้หวัดใหญ่
มักจะเกิดขึ้นทันทีทันใดด้วยอาการ ไข้สูง ตัวร้อน หนาว ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อมากโดยเฉพาะที่หลัง ต้นขาและต้นแขน ปวดศรีษะ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ขมในคอ คัดจมูก มีน้ำมูกใสๆ
ไอแห้งๆ จุกแน่นท้อง แต่บางรายอาจไม่มีอาการคัดจมูกหรือเป็นหวัดเลย มีข้อสังเกตว่า ไข้หวัดใหญ่มักเป็นหวัดน้อย แต่วัดที่น้อยมักเป็นหวัดที่นานมาก ไข้มักเป็นอยู่ 2-4 วัน แล้วค่อยๆลดลง อาการไอและอ่อนเพลีย อาจเป็น 1-4 สัปดาห์ แม้ว่าอาการอื่นๆจะหายลงแล้ว บางรายเมื่อหายจากไข้หวัดใหญ่แล้วมีอาการเวียนศรีษะ เมารถเมาเรือ เนื่องจากการอักเสบของอวัยวะการทรงตัวในหูชั้นใน ซึ่งมักจะหายเองได้ใน 3-5 วัน
4.1อาการไข้หวัดใหญ่ที่ไม่มีโรคแทรกซ้อน
- ระยะฟักตัว 1-4 วัน โดยเฉลี่ย 2วัน
- ผู้ป่วยจะมีอาการอ่อนเพลียอย่างเฉียบพลัน
- เบื่ออาหาร คลื่นไส้
- ปวดศรีษะอย่างรุนแรง
- ปวดตามแขน ปวดข้อ ปวดรอบตา
- ไข้สูง 39-40 องศาเซลเซียล
- เจ็บคอ และ คอแดง มีน้ำมูกใสๆไหล
- ไอแห้งๆ
- ตามตัวจะร้อน แดง และ ตาแดง
- อาการอาเจียนหรือท้องเดิน
4.2อาการไข้หวัดที่มีอาการแทรกซ้อน
- อาจพบการอักเสบของเยื้อมหุ้มหัวใจ ผู้ป่วยอาจมีอาการเจ็บหน้าอก หรือ หัวใจวาย ผู้ป่วยจะเหนื่อยหอบ
- ระบบประสาท พบเยื้อมหุ้มสมองอักเสบและสมองอักเสบ ผู้ป่วยจะซึมและปวดศรีษะอย่างรุนแรง
- โดยทั่วไปไข้หวัดใหญ่มักจะหายในไม่กี่วัน แต่ก็มีผู้ป่วยบางรายมีอาการไอ และปวดตามตัวนาน 2 สัปดาห์ ส่วนผู้เสียชีวิตมักจะเกิดจากปอดบวม และโรคหัวใจหรือโรคที่ผู้ป่วยเป็นอยู่ ณ. ตอนนั้น
4.3อาการแทรกซ้อน
ส่วนมากมักจะหายได้เองโดยไม่มีภาวะแทรกซ้อน ภาวะแทรกซ้อนจะเกิดขึ้นเป็นส่วนน้อยที่พบได้บ่อย คือ ไซนัสอักเสบ หูชั้นกลางอักเสบ หูชั้นในอักเสบ หลอดลมอักเสบ ภาวะที่สำคัญ คือ ปอดอักเสบ ซึ่งมักจะเกิดจากแบคทีเรียพวกนิวโมค็อกคัส หรือ สเตฟฟิโลค็อกคัส
โรคไข้หวัดทำให้เกิดอาการแทรกซ้อน ดังนี้
1. หลอดลมอักเสบ
มีไข้ติดต่อกันนาน 5 วันขึ้นไป หายใจไม่สะดวก หายใจหอบ หลอดลมอักเสบมักไม่รุนแรง แต่ต้องระวังอย่าให้กลายเป็นหลอดลมอักเสบเรื้องรัง
2. หูชั้นกลางอักเสบ
หูเชื่อมต่อกับคอโดยผ่านท่อจมูกคอ (Nasocrymal duct) ดังนั้น เมื่อคออักเสบแล้วสูดน้ำมูก เชื้อโรคอาจกระจายไปสู่หูชั้นกลางทำให้เกิดการอักเสบได้
3. ไซนัสอักเสบ
มักเกิดหลังเป็นไข้หวัด เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อน ซึ่งเป็นการอักเสบของเยื้อเมือกในไซนัส ซึ่งก็คือโพรงจมูก มักมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหลย้อน การได้กลิ่นลดน้อยลง โดยพื้นฐานไม่ใช่โรคที่รุนแรงแต่ควรระวังไม่ให้กลายเป็นไซนัสอักเสบเรื้องรัง
4. ต่อมทอนซิลเป็นหนอง
เมื่อเป็นหวดมักมีอาการเจ็บคอ หากรุนแนงจะเกิดต่อมทอนซิลเป็นหนองทำมห้เกิดอาการเจ็บคอ มีไข้ หากต่อมทอนซิลอักเสบเป็นหนองเกิดจากเชื้อสเตรปโตคอกคัส (Streptococus) อาจทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนอย่างโรคหัวใจรูมาติกและไตอักเสบ
5. ปอดอักเสบ
เป็นการติดเชื้อของทางเดินหายใจส่วนล่างที่ถุงลมปอดหรือเซลล์ ซึ่งทำหน้าที่แลกเปลี่ยนอากาศ อาการปอดอักเสบรุนแรงมักจะมีอาการหนาวสั่น เหงือออก มีไข้สูงกว่า 40 องศาเซลเซียส เจ็บหน้าอกเวลาหายใจ มักป่วยนานเนื่องจากไม่มียาที่รักษาได้ผล
6. สมองอักเสบ
โรคไข้หวัดที่ทำให้สมองอักเสบมีอัตราไม่สูง สมองอักเสบทำให้มีไข้ ปวดศรีษะรุนแรง อาเจียน คอแข็ง การทำงานของระบบประสาทลดลง เนื่องจากสมองอักเสบมีกเกิดจากเชื้อไวรัสจึงไม่มียารักษาได้ผล
7. กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบเฉียบพลัน
โรคไข้หวัดที่ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจเฉียบพลันพบไม่บ่อย แต่เมื่อเกิดขึ้นจะมีอาการรุนแรงมาก กล้ามเนื้อหัวใจเฉียบพลันส่วยใหญ่เกิดจากไวรัวเข้าสู่กล้ามเนื้อหัวใจ มีอาการหายใจเร็ว หายใจลำบาก เจ็บหน้าอก ขั้นรุนแรงอาจเกิดอาการช็อคหรือทำให้เสียชีวิตได้ ผู้ป่วยบา งรายอาจรอดชีวิตได้ด้วยการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ
5.การติดต่อ
เชื้อนี้จะติดต่อง่าย และการติดต่อสามารถติดต่อได้โดย
- เชื้อสามารถติดต่อจากคนหนึ่งไปอีกคนหนึ่งโดยการหายใจ ได้รับน้ำมุก เสมหะ ของผู้ป่วยโดยผ่านเข้าทางเยื้อบุตา จมูก และปาก
- การที่คนได้สัมผัสสิ่งปนเปื้อนเชื้อโรค เช่น ผ้าเช็ดหน้า แก้วน้ำ เป็นต้น
- การที่มือไปสัมผัสเชื้อแล้วขยี้ตา หรือ นำเข้าปาก
5.1ระยะติดต่อ
ระยะเวลาที่ติดต่อคน คือ 1 วันก่อนเกิดอาการ 5 วันหลังจากมีอาการ ในเด็กอาจมีการแพร่เชื้อ 6 วัน ก่อนมีอาการและแพร่เชื้อได้นาน 10 วัน
6.การรักษา
- ลดไข้ด้วยยาลดไข้ เช่น paracetamol ไม่ควรให้ aspirin ในคนที่มีอายุน้อยกว่า 16 ปี เพราะอาจทำให้เกิด Reye syndrome ไม่ควรให้ยาปฎิชีวนะ ถ้าไม่ไอมากอาจซื้อยาแก้ไอรับประทาน
- สำหรับผู้ที่เจ็บคออาจใช้น้ำ 1 แก้ว ผสมกับเกลือ 1 ช้อน กลั้วคอ (แต่ห้ามดื่ม)
- สำหรับผู้ที่มีอาการคัดจมูกอาจจะใช้ไอน้ำช่วยวิธีง่ายๆ คือ ต้มน้ำร้อนแล้วให้นั่งหน้ากาน้ำเอาผ้าคลุมศรีษะและสูดดมไอน้ำ เพื่อบรรเทาอาการคัดจมูก
- อย่าสั่งน้ำมูกแรงๆ เพราะจะทำให้เชื้อลุกลาม
- ให้ล้างมือบ่อยๆเมื่อออกนอกบ้าน
- สวมผ้าปิดจมูก ป้องกันการแพร่เชื้อไปยังผู้อื่น
- ช่วงที่มีการระบาดให้หลีกเลี่ยงจากที่สาธารณะ
- ถ้าเริ่มมีอาการระคายคอ ให้จิบน้ำส้มคั้นหรือน้ำมะนาวผสมน้ำผึ้งและเกลือเล็กน้อย
- เมื่อเริ่มมีน้ำมูก ให้กินวิตามินซี กกินไปเรื่อยๆจนกระทั่งท้องเสียหรือน้ำมูกแห้ง
6.1การรักษาในโรงพยาบาล
- ผู้ป่วยที่ขาดน้ำแพทย์จะให้น้ำเกลือ
- ผู้ป่วยเหล่านี้ควรได้รับยา amantadine และ rimantadine เพื่อให้หายเร็วและลดความรุนแนงของโรค ยาทั้ง 2 ชนิดนี้ ควรให้ภายใน 24 ชั่วโมง หลังจากเริ่มมีอาการไอและให้ต่ออีก 5-7 วัน (ยานี้ไม่ช่วยลดโรคแทรกซ้อน)
- ถ้ามีอาการคัดจมูกแพทย์จะสั่งยาลดน้ำมูก
- ถ้าไม่มีโรคแทรกซ้อนก็ไม่ควรให้ยาปฎิชีวนะ
- ให้นอนพักผ่อนไม่ควรออกกำลังกาย
6.2การวินิจฉัย
การวินิจฉัยไข้หวัดใหญ่จะอาศัยประวัติและการตรวจร่างกายเป็นหลักโดยเฉพาะช่วงที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อ
การวินิจฉัยที่แน่นอนทำได้ 2 วิธี คือ
- นำไม้พันสำลีมาแหย่ที่คอ หรือ จมูก แล้วนำไปเพาะเชื้อ
- เจาะเลือด
¨ ตวรจหาภูมิคุ้มกันต่อเชื้อโดยต้องเจาะ 2 ครั้ง ห่างกัน 2 ชั่วโมงแล้วเปรียบเทียบการเพิ่มของภูมิคุ้มกันต่อเชื้อ
¨ การรวจหา antigen
¨ การตรวจหาโดยวิธี PCR Imunofluorescent
6.3โรคแทรกซ้อน
การติดเชื้อแบคทีเรียอาจทำให้ปอดบวม ฝีในปอด หนองในช่องเยื้มหุ้มปอด นอกจากนี้ไข้หวัดใหญ่ในหญิงตั้งครรภ์ยังส่งผลต่อมารดามักเป็นชนิดรุนแรงและมีอาการมาก อาจมีผลต่อเด็กอาจทำให้เกิดการแท้งขึ้นได้
7.ข้อแนะนำ
โรคนี้ไม่ถือว่าเป็นโรคร้ายแรงส่วนมากให้การดูแลตามอาการก็จะหายได้เองภายใน 3-5 วัน ถ้ามีไข้เกิน 7 วัน ควรสงสัยไข้อื่นๆนอกจากไข้หวัด ควรพบแพทย์เพื่อดูแลรักษาต่อไป
7.1การป้องกัน(www.wikipedia.org/wiki วันที่ 24/07/2554 เวลา 16:30น.และ นายแพทย์ บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล: 2552) ได้กล่าวไว้ว่า
- ฉีดวัคซีนป้งกัน
- ให้ดื่มน้ำส้มคั้นสดๆ วันละ 1-2 แก้ว เป็นประจำ
- ล้างมือบ่อยๆ
- หลีกเลี่ยงการเอามือเข้าปากหรือขยี้ตา
- อย่าใช้สิ่งของส่วนตัวร่วมกับคนอื่น เช่น ผ้าเช็ดตัว เป็นต้น
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิด เมื่อเวลาเจ็บป่วย
- สวมผ้าปิดจมูก เวลาไอ หรือ จาม
- ออกกำลังอย่างสม่ำเสมอ
7.2วัคซีน
(กองบรรณาธิการมติชน: 2552) ได้กล่าวไว้ว่า
การป้องกันที่ดีที่สุด คือ การฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ ซึ่งทำจากวัคซีนที่เป็นเชื้อตายแล้วโดยฉีดที่แขนปีละ 1 ครั้ง หลังฉีด 2 สัปดาห์ภูมิคุ้มกันจะสูงพอป้องกันการติดเชื้อ แต่การฉีดวัคซีนจะเลือกผู้ป่วยที่เสี่ยงต่อเป็นโรคแทรกซ้อน คือ
§ ผู้ที่มาอายุมากว่า 5 ปี
§ ผู้ที่มีโรคเรื่อรังและโรคประจำตัว
§ ผู้ป่วยโรคเบาหวาน
§ หญิงตั้งครรภ์ 3 เดือนขึ้นไป
§ ผู้อาศัยในบ้านพักคนชรา
§ เจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่ดูแลผู้ป่วยเรื้อรัง
§ สมาชิกในครอบครัวที่เป็นโรคเรื้องรัง
§ ผู้ที่จะไปเที่ยวบังสถานที่ที่มีการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่
7.3ประเภทของวัคซีนที่แบ่งตามวิธีการผลิตมี 3 ประเภท คือ
(กองบรรณาธิการมติชน: 2552) ได้กล่าวไว้ว่า
- วัคซีนประเภทท็อกซอยด์
เป็นการผลิตวัคซีนขึ้นจากการนำพิษของเชื้อโรคมาทำให้หมดฤทธิ์ไป แต่ยังสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ ใช้สำหรับโรคติดเชื้อที่เกิดจากพิษขอเชื้อ ได้แก่ โรคคอตีบ เป็นต้น
- วัคซีนจากเชื้อตาย
หมายถึง วัคซีนที่ผลิตขึ้นโดยใช้เชื้อโรคทั้งคอตีบหรือเฉพาะชิ้นส่วนของเชื้อโรคที่ตายแล้วมาผลิต เช่น วัคซีนตับอักเสบบี วัคซีนไอกรน เป็นต้น
- วัคซีนจากเชื้อโรคเป็น
หมายถึง วัคซีนที่ผลิตขึ้นโดยใช้เชื้อโรคมาทำให้อ่อนฤทธิ์ลงจนทำให้ไม่เกิดโรค แต่มีแรงพอที่จะกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกายได้ เช่น วัคซีนหัดเยอรมัน วัคซีนคางทูม วัคซีนอีสุกอีใส เป็นต้น
7.4วิธีรับวัคซีนไข้หวัดใหญ่
(นายแพทย์ หลินอิงชัน: 2553) ได้กล่าวไว้ว่า
วัคซีนไข้หวัดใหญ่สามารถป้องกันได้ประมาณ 1-2 ปี แต่ไวรัสไข้หวัดใหญ่มักจะกลายพันธุ์จึงจำเป็นต้องรับทุกปี
ระบบภูมิคุ้มกันต้องใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์ ร่างกายจึงจะต้องสร้าง antibody ต่อวัคซีนไข้หวัดใหญ่ขึ้นได้จึงควรรับวัคซีนก่อนเข้าสู่ฤดูระบาดประมาณ 2 สัปดาห์ สำหรับเด็กที่รับวัคซีนเป็นครั้งแรกต้องรับ 2 ครั้ง แต่ละครั้งห่างกัน 1 เดือนขึ้นไป
บทสรุป
โรคไข้หวัดใหญ่เป็นโรคที่แพร่ระบาดได้ง่ายและก็สามารถรักษาและป้องกันได้ง่ายเช่นกัน ถ้าเราสามารถรู้สาเหตุ ระยะติดต่อและวิธีป้องกันไข้หวัดใหญ่ เราจะสามารถรักษาและดูแลตัวเองที่บ้านได้อย่างถูกวิธีโดยไม่ต้องพึ่งแพทย์ ซึ่งวิธีง่ายๆที่ดูแลตัวเองที่บ้านได้ก็คือ การออกกำลังกาย เป็นต้น
นางสาว วราภรณ์ จาดชนบท 5305110025 คณะ พยาบาลศาสตร์ (NS2) วิทยาเขต กาญจนบุรี