28/11/54

ระบบปัสสาวะ

ระบบปัสสาวะ
1. บทนำ
ระบบขับถ่าย ปัสสาวะประกอบไปด้วยหลายอวัยวะ คือ ไต ท่อไต กระเพาะปัสสาวะ ท่อปัสสาวะ และเนื่องจากหน้าที่ของไตมีหลายอย่าง กลไกการทำงานค่อนข้างสลับซับซ้อน และยังทามงานร่วมกับระบบอื่นที่สำคัญ เช่น ระบบการไหลเวียนเลือด ระบบการหายใจ เป็นต้น เพื่อวัตถุประสงค์ที่สำคัญคือการรักษาความสมดุลการคงสภาพของสิ่งแวดล้อมภายใน (Internal Environment ) เพื่อให้เซลล์ทำงานได้ปกติทั้งที่สิ่งแวดล้อมภายนอกเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา การที่ร่างกายสามารถรักษาสภาพแวดล้อมภายในให้คงที่ หรือมีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยจนไม่สามารถเกิดพยาธิสภาพในร่างกายนั้น เรียกว่า ร่างกายสามารถรักษาภาวะ Homeostasis ได้ทำให้ดำรงชีวิตเป็นปกติ
Claude Bernard ชาวฝรั่งเศส ได้ค้นพบสิ่งใหม่ ๆ หลายอย่างในการดำรงชีวิตของมีชีวิต เขากล่าวว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหลายอยู่ภายใต้สิ่งแวดล้อม 2 อย่าง คือ สิ่งแวดล้อมภายในและสิ่งแวดล้อมภายนอก ภายในร่างกายมีกระบวนการการทำงานที่ประสานกันได้ดี ระหว่าง ตัวรับ (receptor) ศูนย์ควบคุม (center) และ ตัวทำงาน (effecter) เพื่อคงสภาพให้ปกติ ทั่งนี้คือการควบคุมภาวะ Homeostasis นั่งเอง (พิมพรรณ รัตนโกมล . 2539)

2.หน้าที่ของไต
1. กำจัดของเสีย เมื่อเรารับประทานอาหารเข้าไป เช่นพวกเนื้อสัตว์ซึ่งเป็นอาหารพวกโปรตีนซึ่งจะถูกย่อยสลายเป็นยูเรีย นอกจากนั้นเนื้อเยื่อเราก็มีการสร้างและสลายตามธรรมชาติกล้ามเนื้อที่สลายก็ทำให้เกิด ครีเอตินิน ซึ่งหากเกิดการคั่งก็จะทำให้เกิดอาการซึม มึนงง เบื่ออาหาร อาเจียน หมดสติ
2. ดูดซึม และเก็บสารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายไว้สารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายจะถูกดูดกลับโดยเซลล์ของหน่วยไต เช่น น้ำ ฟอสเฟต โปรตีน แคลเซียม
3. รักษาสมดุลน้ำของร่างกาย ถ้าน้ำมีมากเกินความต้องการของร่างกายเช่นดื่มน้ำมากไป ไตจะทำหน้าที่ขับน้ำออกมาทางปัสสาวะ แต่ถ้าอยู่ในภาวะขาดน้ำเช่นท้องร่วง อาเจียน เสียเหงื่อ หรือมีเลือดออกมาก ไตจะพยายามสงวนน้ำไว้ให้ร่างกายโดยการดูดซึมน้ำกลับทำให้ปัสสาวะจะมีปริมาณน้อยและเข้มข้น
4. รักษาสมดุลเกลือแร่ของร่างกาย ไตที่ปกติจะขับเกลือส่วนเกินได้เสมอ แม้จะรับประทานรสเค็มจัด แต่ถ้าเสื่อมสมรรถภาพ ทำให้ไม่สามารถขับเกลือส่วนเกิน ผู้ป่วยจะมีอาการบวมถ้ารับประทานเกลือมากเกินไป และอาจจะเกิดน้ำท่วมปอด (บังอร ชมเดช. 2537)
5. รักษาสมดุลกรดด่างของร่างกายร่างกายจะผลิตกรดทุกวันจากการเผาผลาญอาหารโปรตีน ถ้าไตทำหน้าที่ปกติจะไม่มีกรดคั่ง ถ้าไตเสื่อมสมรรถภาพ ร่างกายจะมีปัสสาวะเป็นกรด หากมีการคั่งของกรดจะทำให้เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน และหายใจหอบ
6. ควบคุมความดันโลหิต ความดันโลหิตสูงเกิดจากความผิดปกติในการควบคุมสมดุลน้ำและเกลือรวมถึงสารบางชนิดผู้ป่วยโรคไต จึงมักมีความดันโลหิตสูง เพราะไตถูกกระตุ้นให้สร้างสารที่ทำให้ความดันสูง ถ้าความดันโลหิตสูงมากทำให้หัวใจทำงานหนักหรืออาจเกิดโรคหลอดเลือดสมองตีบหรือแตกเป็นอัมพฤษและอัมพาตได้
7. ผลิต และควบคุมการทำงานของฮอร์โมน เช่นฮอร์โมนที่ควบคุมปริมาณแคลเซียม และฮอร์โมนที่กระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดง ถ้าเป็นโรคไต การสร้างฮอร์โมนจะบกพร่องไป ฮอร์โมนที่ไตผลิตได้แก่
• Erythropoietin ทำหน้าที่กระตุ้นไขกระดูกสร้างเม็ดเลือดแดง
• Renin ทำหน้าที่ควบคุมความดันโลหิต
• vitamin D ทำหน้าที่สร้างกระดูก (พิมพรรณ รัตนโกมล . 2539)
ลักษณะทั่วไปของไต
ไตเป็นอวัยวะที่เป็นคู่ มีอยู่ 2 ข้าง คือข้างซ้ายและข้างขวา มีรูปร่างเหมือนถั่ว วางอยู่ด้านหลัง ไตอยู่ที่ระดับระหว่าง thoracic vertebra ที่ 12 ถึง lumber vertebra ที่3 โดยไตขวาจะอยู่ต่ำกว่าไตซ้ายเล็กน้อย เนื่องจากมีตับอยู่ทางด้านบน
เมื่อผ่าไตผ่าไตออกเป็น 2 ซีก (พิมพรรณ รัตนโกมล . 2539) ตามยาว จะเห็นว่า เนื้อไตแบ่งออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ ๆ คือ
1. เนื้อไตชั้นนอก (Renal cortex) หรือเปลือกไต มีสีน้ำตาลปนแดงประกอบด้วย Renal corpuscles และท่อเล็กๆ (Tubules) สำหรับนำปัสสาวะเนื้อไตตอนนี่บางส่วนจะแทรกเข้าระหว่าง Pyramids ซึ่งอยู่ในเนื้อไตชั้นในเรียกส่วนที่ยื่นเข้าไปในนี่ว่า Renal Column
2. เนื้อไตชั้นใน (Renal Medulla) เป็นเนื้อของไตที่อยู่ด้านใน ประกอบด้วย Renal Pyramids มีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยมประมาณ 8-18 อัน (พิมพรรณ รัตนโกมล . 2539) ที่ฐานของ Pyramids จะหันไปทางด้านเนื้อไตชั้นนอกส่วยปลายของ Pyramids มีลักษณะกลมๆยื่นเข้าไปในกรวยไต ปลายแหลมที่ยื่นนี้เรียกว่า แพบพิลลา (Papillae) จะมีรูเล็กๆอันเป็นทางที่น้ำปัสสาวะจะไหลผ่านออกจากไตไปสู่กรวยไต
จุลกายวิภาคของไต (Microscopic anatomy of the kidney)
เนื้อไตประกอบด้วยหน่วยเล็กที่สุดที่ทำหน้าที่ในการกรงเลือด เรียกว่า nephron ของเหลวที่ถูกกรองออกมาจากเลือดจะผ่านไปตามช่องของ nephron ซึ่งในระหว่างนั้นจะมีการขับสารที่ร่างกายไม่ต้องการหรือมีมากเกิดความจำเป็นออกไปในขณะเดียวกันก็มีการดูดซึมสิ่งที่มีประโยชน์แก่ร่างกายกลับเข้าสู่เลือด
Nephron ประกอบด้วยโครงสร้าง 2 ส่วน คือ
1. renal tubule
2. glomerulus
1. renal tubule เป็นท่อที่ทำหน้าที่สร้างน้ำปัสสาวะ ประกอบด้วยส่วนย่อย 4 ส่วน คือ
1.1 Glomerular ( Bowman’s ) capsule เป็นกระเปาะกลมรูปถ้วยอยู่บริเวส่วนต้นของ nephron ประกอบด้วยผนัง 2 ชั้น บุด้วย simple squamous epithelium ด้านหนึ่งเว่าภายในบรรจุกลุ่มของหลอดเลือดฝอยที่เรียกว่า glomerulus อีกด้านหนึ่งต่อกับ proximal tubule
ส่วนของ glomerular capsule ที่ห่อหุ้ม glomerulus ไว้ภายในเรียกรวมกันว่าrenal corpuscle ส่วนใหญ่จะพบ renal corpuscle อยู่กระจัดกระจายทั่วไปในส่วน cortex ของเนื้อไต
1.3 loop of henle เป็นท่อที่ยื่นยาวเป็นห่วง จะยื่นลึกลงไปในชั้น medulla จะประกอบไปด้วย descending limb Henle’s loop และ ascending limb Henle’s loop
1.4 Distal tubule เป็นส่วนปลายของ renal tubule เป็นท่อนำปัสสาวะไหลไปยังท่อไตรวม เพื่อเข้าสู่ Collecting tubule
2. glomerulus ซึ่งเป็นกลุ่มเส้นเลือดฝอย (Glomerrular capillaries) ทำหน้าที่กรองน้ำและสารบางตัวจากพลาสม่าเข้ามาในท่อไต (คณาจารย์ภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.2539)
หลอดเลือดและเส้นประสาทที่มาเลี้ยงไต
ไตแต่ละข้างได้รับเลือดมาเลี้ยงผ่านทาง renal artery ซึ่งเป็นแขนงของ abdominal aorta เมื่อเข้าสู่เนื้อไตจะแตกแขนงเป็น segmental arteries ไปเลี้ยงส่วนต่างๆของไตจากนั้นจะแตกแขนงให้เป็น interlobar arteries อยู่ใน renal column เมื่อถึงบริเวณรอยต่อของ cortex กับ medulla interlobar arteries จะแตกแขนงให้เป็น arcuate ateries ทอดไปตามส่วนฐานของ renal pyramid ให้แขนงย่อยเรียกว่า interlobular arteries เข้าสู่ส่วน cortex ของเนื้อไต จากนั้นจะแตกแขนงเป็น afferent arterioles เข้าสู่ renal corpuscle กลายเป็น Glomerulus เลือดที่ผ่านการกรองแล้วจะไหลออกจาก Glomerular ทาง efferent arterioles ซึ่งจะนำเลือดผ่านไปสู่ peritubula capillaries (vasa recta ) ที่อยู่รอบ loop of Henle จากนั้นเลือดจะผ่านเข้าสู่ระบบหลอดเลือดดำ interlobular , arcuate ,interlobar,segmental,และ renal veins ตามลำดับ เลือดดำจาก renal vein จะกลับสู่หัวใจโดยเข้า inferior veva cava
เส้นประสาทที่มาเลี้ยงไตเป็นแขนงมาจาก renal plexus ซึ่งเป็นระบบอัตโนมัติ Sympathetic เข้าสู่ไตโดยมาร่วมกับrenal arteries แล้วแตกแขนงไปตามหลอดเลือดภายในไต เส้นประสาทนี้ควบคุมการหดตัวของหลอดเลือด ดั้งนั้นจึงควบคุมระบบไหลเวียนของเลือดภายในไตโดยการปรับขนาดของ arterioles (คณาจารย์ภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.2539)

3. ท่อไต (Ureter)
หน้าที่ของท่อไต
เป็นส่วนที่ต่อระหว่างไตทั้งสองข้างกับกระเพาะปัสสาวะ ท่อไตเป็นเพียงทางผ่านของกระเพาะปัสสาวะไหลจากไตเข้าไปพักในกระเพาะปัสสาวะ (รศ.ดร.ดุสิต จิรกุลสมโชค .2541)
ลักษณะทั่วไปของท่อไต
หลอดไตเป็นอวัยวะมีลักษณะเป็นท่อเชื่อมต่อระหว่างกรวยไตกับกระเพาะปัสสาวะ หลอดไตเข้าทางส่วนล่างของผนังด้านหลังของกระเพาะโดยเปิดเข้าอย่างเฉียงๆ รูเปิดของไตที่กระเพาะปัสสาวะอยู่ด้านข้างและอยู่เหนือรูเปิดของท่อปัสสาวะ เมื่อดูด้านในของกระเพาะปัสสาวะจะเห็นแผ่นเยื่อเมือก (mucous membrane ) ปิดรูเปิดของกรวยไต การที่หลอดไตเข้าไปในผนังกระเพาะปัสสาวะอย่างเฉียงๆและหลอดไตส่วยนี้ (ureterovesicular junction)มีความต้านทานสูง ร่วมกับที่รูเปิดของหลอดไตมีแผ่นเยื่อเมือกปิดอยู่จะช่วยป้องกันการไหลย้อนกลับของปัสสาวะจากกระเพาะปัสสาวะเข้าสู่หลอดไตเป็นหลอดหนาแคบทรงกระบอกต่อลงมาโดยโดยตรงจากกรวยไตทางด้านบน หลอดไตทอดลงมาตามกล้ามเนื้อของผนังช่องท้องด้านหลัง ขนานกับแนวกระดูกสันหลัง เข้าสู่เชิงกราน โดยทั่วไปหลอดไตมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 3 มม. และมีรอยคอด 3 แห่ง ด้านบนบริเวณที่ต่อกับกรวยไต ด้านล่างตรง ตำแหน่งที่เริ่มทอดตัวเข้าสู่โพรงเชิงกราน ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ทอดทับขอบของ true pelvis อยู่ค่อนมาทางแนวกลางตัวเมื่อเปรียบเทียบกับกล้ามเนื้อของผนังช่องท้องด้านหลัง และสุดท้ายเป็นตำแหน่งที่แคบที่สุดคือจุดสิ้นสุดของหลอดไตขณะที่แทงผ่านกระเพาะปัสสาวะเข้าสู่ภายในกระเพาะปัสสาวะ (คณาจารย์ภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.2539)
จุลกายวิภาคของท่อไต(Microscopic anatomy of the ureter ),
ผนังของท่อไตแบ่งออกเป็น 3 ชั้น
1.ชั้นนอกเป็นเนื้อเยื่อเส้นใย (Fibrous coat) มีหลอดเลือดและประสาทมาหล่อเลี้ยง
2.ชั้นกลาง ประกอบด้วยกล้ามเนื้อเรียบ (Muscular coat ) มี 2ชั้น ชั้นในเป็นกล้ามเนื้อที่เรียงตัวตามยาว(Longitudinal layer) ชั้นนอกเป็นกล้ามเนื้อเรียงตัวเป็นวงกลม (Circular layer)
3. ชั้นในบุด้วยเยื่อเมือก (Mucous coat) ดาดด้วยเซลล์ที่สามารถเปลี่ยนแปลงรูปทรงได้ (Transitional epithelium) (พิมพรรณ รัตนโกมล . 2539)
ท่อไตแทงทะลุผนังของกระเพาะปัสสาวะไปเปิดที่ Ureteric orifice บริเวณสามเหลี่ยมที่ฐานกระเพาะปัสสาวะ (Vesical trigone) บริเวณรูเปิด จะมีหูรูดเรียกว่า ยูริเทอริค สพิงค์เตอร์ (Ureteric sphincter) ป้องกันไม่ให้ปัสสาวะไหลย้อนเข้าไปในท่อไต (คณาจารย์ภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.2553)
เส้นประสาทที่มาเลี้ยงท่อไต
เส้นประสาทที่มาเลี้ยงท่อไตคือ celiac ,aortic,hypogastric,plexus ใยประสาทซิมพาเทติกออกจาก T11-L1 ส่วน ใยประสาทพาราซิมพาเทติกเลี้ยงหลอดไตส่วนบนคือประสาท vagus และที่เลี้ยงท่อไตส่วนล่างมาจาก S2-S4 บางส่วนของใยประสาทเหล่านี้เป็นประสาทนำเข้า (afferent) ซึ่งทำหน้าที่นำความรู้สึกเจ็บปวดเมื่อมีการอุดตันของหลอดไต ภาวะเช่นนี้ เรียกว่าการปวดนิ่วไต (renal colic) การตัดเส้นประสาทที่มาเลี้ยงไตมิได้ทำให้เกิดความผิดปกติของการเกิดคลื่นบิดรูด แม้ว่าระบบประสาทออโตโนมิคไม่จำเป็นสำหรับการเกิดคลื่นบีบรูด แต่มีผลในการปรับเปลี่ยนการทำงานของหลอดไต เช่น การกระตุ้นตัวรับ เบต้า-adrenergic ทำให้หลอดไตเพิ่มความถี่และความแรงของการหดตัว ส่วนการกระตุ้นประสาทพาราซิมพาเทติกทำให้หลอดไตเพิ่มความถี่และความแรงของการหดตัว


4. กระเพาะปัสสาวะ
(Urinary Bladder)
หน้าที่ของกระเพาะปัสสาวะ
มีหน้าที่สำคัญคือ เป็นที่พักของปัสสาวะ และช่วยขับถ่ายปัสสาวะให้สมบรูณ์ โดยจะมีสมองควบคุมอีกที่หนึ่ง ทำให้คนถ่ายปัสสาวะได้ด้วยความเหมาะสมทั้งสถานที่และเวลา ขณะกำลังถ่ายปัสสาวะกระเพาะปัสสาวะนั้นจะบีบีตัวเพิ่มความดันภายใน และดันเอาปัสสาวะไหลออกทางท่อปัสสาวะ(คณาจารย์ภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.2539)
ลักษณะทั่วไปของกระเพาะปัสสาวะ
ตำแหน่งของกระเพาะปัสสาวะอยู่ในอุ้งเชิงกรานด้านหน้าและล่างต่อ peritoneal cavity และหลังต่อ pubic bone มีความจุประมาณ 400-500 ml (รศ.ดร.ดุสิต จิรกุลสมโชค .2541) ผนังของกระเพาะปัสสาวะภายในบุด้วย transitional cell บริเวณรูเปิดของท่อไตและท่อปัสสาวะเป็นสามเหลี่ยมเรียกว่า trigone ส่วนรูเปิดไปสู่ท่อปัสสาวะพบกล้ามเนื้อหนาเป็นหูรูด เรียกบริเวณนี้ว่า bladder neck ทั้ง trigone และ bladder neck จะมีรูปร่างและตำแหน่งคงที่ ต่างกับส่วนอื่นของกระเพาะปัสสาวะที่จะเปลี่ยนตำแหน่งและรูปร่างตามปริมาณปัสสาวะที่สะสมอยู่ภายใน ปกติกระเพาะปัสสาวะจะมีรูปร่างกลมหรือ oval shape ความหนาของกระเพาะปัสสาวะก็ขึ้นกับปริมาณปัสสาวะที่สะสมอยู่เช่นเดียวกัน เมื่อ full bladder เต็มที่ bladder wall ควรจะเรียบและหนาแบบสม่ำเสมอ การขับถ่ายปัสสาวะจะถูกควบคุมด้วยกล้ามเนื้อ detrusor (รศ.ดร.ดุสิต จิรกุลสมโชค .2541)
จุลกายวิภาคของกระเพาะปัสสาวะ
ผนังของกระเพาะปัสสาวะประกอบด้วยกล้ามเนื้อเรียบ เรียกว่า Detrusor muscle บริเวณที่คอของกระเพาะปัสสาวะ เส้นใยของกล้ามเนื้อจัดตัวเป็นกล้ามเนื้อหูรูดภายในบางส่วนของเส้นใยกล้ามเนื้อเรียงตัวเป็นรัศมี ซึ่งเป็นตัวช่วนในการเปิดรูหลอดปัสสาวะภายใน (Internal urethral orifice) ชั้นmucosa ของกระเพาะปัสสาวะ มีเนื้อเยื่อผิวเป็น transitional epithelium ซึ่งหนาตัวและทำให้เกิดรอยพับ ลักษณะเช่นนี้พบได้ เมื่อกระเพาะปัสสาวะว่าเปล่า และถ้าน้ำปัสสาวะเต็มกระเพาะปัสสาวะ ผนังmucosa จะมีลักษณะเรียบบริเวณ fundus พบบริเวณสามเหลี่ยมเล็ก ๆ เรียกว่า vesical thigone gเป็นบริเวณที่มีท่อไต 2 ข้าง (Ureteric orifice) มาเปิดที่มุมด้านข้าง angle) และหลัง(posterolateral และที่มุมด้านล่าง( Inferior angle) มีรูเปิดของหลอดปัสสาวะ (Urethral orifice) ขอบบนของ trigone นั้นพบว่า mucosa ยก ตัวสูงขึ้นและเป็นแนวตรงเชื่อมระหว่าง 2 Ureteral orifice เรียกว่า Interuretericfold ถัดจาก mucosa ของ vessical Trigone จะเป็นชั้นกล้ามเนื้อเรียบ ซึ่งสามารถหดตัวได้แตกต่างจากกล้ามเนื้อ Detrusor คือกล้ามเนื้อเรียบที่vesical trigone จะพบเฉพาะบริเวณ trigone และ ถูกเลี้ยงด้วยเส้นประสาทซิมพาเทติกกล้ามเนื้อเรียบจะยื่นลงมาบริเวณ trigone ลงมาล้อมรอบคอของกระเพาะปัสสาวะและหลอดปัสสาวะ กล้ามเนื้อเรียบส่วนนี้เรียกว่า Vesical sphincter (คณาจารย์ภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.2553)
หลอดเลือดที่มาเลี้ยงกระเพาะปัสสาวะ
หลอดเลือดแดง surerior vesical แขนงจากหลอดเลือด Internal iliac เลี้ยงด้านหน้าและส่วนบนของกระเพาะปัสสาวะหลอดเลือดดำ ที่คอของกระเพาะปัสสาวะถูกล้อมด้วยร่างแหหลอดเลือดดำ เรียกว่า vesical venous plexus ซึ่งล้อมรอบ seminal vesicle และท่อของvastus deferens vesical venous lexus ติดต่อกับ prostatic plexus ในเพศชายจากนั้นเข้าสู่หลอดเลือดดำ Internal iliac (บังอร ชมเดช.2537)
เส้นประสาทที่มาเลี้ยงกระเพาะปัสสาวะ
1.เส้นประสาทยนต์ (Motor innervations ) กล้ามเนื้อ detrusor ได้รับเส้นประสาทมาเลี้ยงจากระดับไขสันหลัง S2 –S4 และเดินทางมายังคอของกระเพาะปัสสาวะ โดย Pelvic splanchnic nerve เส้นประสาทนี้ทำให้กล้ามเนื้อ detrusor หดตัวและยังยั้งยังการทำงานของ vesical sphincter กล้ามเนื้อ trigone และคอของกระเพาะปัสสาวะได้รับเส้นประสาทยนต์ที่มาเลี้ยงจากเส้นประสาท ซิมพาเทติก ดั้งนั้นเมื่อกล้ามเนื้อเหล่านี้หดตัวจะเป็นการป้องกันการหลั่งน้ำอสุจิ ไม่ให้เข้าไปในกระเพาะปัสสาวะ
2.เส้นประสาทรับรู้ความรู้สึก (Sensory innervations) ความรู้สึกที่รับรู้ว่าน้ำปัสสาวะเริ่มเต็มกระเพาะปัสสาวะ ส่วนใหญ่จะไปกับ afferent neuron ซึ่งไปตามทางเดินของ ซิมพาเทติก เข้าไปยังไขสันหลัง T12-T2 ความรู้สึกที่รับรู้ว่าน้ำปัสสาวะเต็มกระเพาะปัสสาวะมาก แทบจะกลั้นไม่ได้นั้น น้ำปัสสาวะจะย้อยกลับขึ้นไป และขยายท่อไต ทำให้เกิดภาวะ Hydronephrosis ชั่วคราว ทำให้เกิดความเจ็บ ซึ่งจะส่งผลถึง( refer) ไปยัง upper lumbar dermatome และ troracic dermatome ระดับล่างสุด
ความรู้สึกปวดปัสสาวะนั้น เกิดเมื่อมีน้ำปัสสาวะประมาณ 100-150 มิลลิลิตร (รศ.ดร.ดุสิต จิรกุลสมโชค .2541)ในกระเพาะปัสสาวะ การหลั่งปัสสาวะเคลื่อนลงมาตามท่อไต เกิดจากการบีบรูด ของชั้นกล้ามเนื้อเรียบ (รศ.ดร.ดุสิต จิรกุลสมโชค .2541)

5.ท่อปัสสาวะ
( Urethra )
หน้าที่ของท่อปัสสาวะ
เป็นทางผ่านของปัสสาวะจากกระเพาะปัสสาวะออกนอกร่างกายและยังมีความสำคัญอีกคือ ขณะที่ปัสสาวะไหลผ่านท่อปัสสาวะนั้น จะมีกลไกลป้อนกลับทางบวกกระตุ้นให้กระเพาะปัสสาวะบีบตัวได้แรงขึ้น ช่วยในการถ่ายปัสสาวะเป็นไปได้สมบรูณ์ (คณาจารย์ภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. 2553)
ลักษณะทั่วไปของท่อปัสสาวะ
ท่อปัสสาวะเป็นท่อสำหรับให้น้ำปัสสาวะออกสู่ภายนอกร่างกายส่วนปากท่อที่ต่อกับตัวกระเพระปัสสาวะ เรียก Internal urethral orifice และ ปากท่อที่ต่อส่วนที่เปิดสู่ภายนอกเรียกว่า External urethral orifice
ท่อปัสสาวะประกอบด้วย 3 ชั้น คือ
1. ชั้นนอกเป็นกล้ามเนื้อ
2. ชั้นกลางเป็นชั้นที่อยู่ใต้เยื่อเมือก
3. ชั้นในบุด้วยเยื่อเมือก ซึ่งติดกับกระเพาะปัสสาวะ
ท่อปัสสาวะเพศหญิงและเพศชาย
ท่อปัสสาวะในเพศหญิง ตั้งอยู่ข้างหลังรอยประสาทที่กระดูกหัวเหน่าและติดอยู่กับผนังด้านหน้า ( Anterior wall ) ของช่องคลอด ( Vagina ) เป็นหลอดแคบๆขนาดปกติไม่ขยายตัวออกกว้างประมาณ 6 ซม. ยาวประมาณ 3-8 ซม. (พิมพรรณ รัตนโกมล . 2539) ทอดเฉียงลงข้างล้างแล้วทอดโค้งขึ้นข้างบนไปข้างหน้าไปเปิดExternal urethral orifice ซึ่งเป็นช่องแคบที่สุดระหว่าง คริทิริส ( Clitoris ) กับช่องคลอด
ท่อปัสสาวะในเพศชาย มีความยาวประมาณ 8 นิ้ว (พิมพรรณ รัตนโกมล . 2539) แบ่งออกเป็น 3 ตอน คือ
1 ) ส่วนที่ต่อจากกระเพาะปัสสาวะ
2 ) ส่วนที่ต่อจากส่วนที่หุ้มด้วยต่อมลูกหมาก
3 ) ส่วนที่อยู่ในลึงส์
1 ) ส่วนที่ต่อจากกระเพาะปัสสาวะ ( Prostatic part ) ยาวประมาณ 2-3 ซม. (พิมพรรณ รัตนโกมล . 2539) ผ่านจาก Intternal urethrai orifice ไปที่พื้นที่อุ้งเชิงกราน ( Pelvic floor ) มีต่อมลูกหมาก ( Prostate gland ) หุ้มอยู่และมี ท่อน้ำอสุจิ ( Ejacvlatory dvct ) ซึ่งนำน้ำอสุจิมาเปิดร่วมด้วย บริเวณนี้เป็นตอนที่กว้างที่สุด
2 ) ส่วนที่ต่อจากส่วนที่หุ้มด้วยต่อมลูกหมาก ( Membranous part ) ส่วนนี้ยาวประมาณ 1ซม. (พิมพรรณ รัตนโกมล . 2539) เป็นส่วนที่บางและแคบที่สุดแตกง่ายที่สุดหุ้มด้วยกล้ามเนื้อหูรูดซื่อพิงเตอร์เมมเบรณนัสยูริทรา ( Sphincter membranous urethra )
3 ) ส่วนที่อยู่ในลุงส์ ( Cavernovs หรือ Penile part ) ส่วนนี้จะยาวประมาณ 14-20 ซม. (พิมพรรณ รัตนโกมล . 2539)จะมาสิ้นสุดที่ External urethral orifice ส่วนที่ล้อมรอบด้วย Corpus carverno sum urethra
ท่อทางเดินตอนที่สองและสามนี้เป็นทางผ่านออกของทั้งน้ำปัสสาวะและน้ำอสุจิท่อปัสสาวะเพศชายประกอบด้วยเนื้อเยื่อ 2 ชิ้น คือ ชั้นในเป็นเยื่อเมือก ( Mvcovs tissve ) ชั้นนอกเป็นเนื้อเยื่ออยู่ใต้ชั้นเยื่อเมือก ( Submvcovs tissve ) (พิมพรรณ รัตนโกมล . 2539)
การขับถ่ายปัสสาวะและน้ำปัสสาวะ
การขับถ่ายปัสสาวะ ไตจะทำหน้าที่กรองและแยกน้ำปัสสาวะออกมาเรื่อยๆแล้วจะลงมาในหลอดไตเข้าสู้กระเพาะปัสสาวะ จนกระทั่งมีน้ำปัสสาวะประมาณ 150-200 ลบ.ซม. จะเกิดการกระตุ้นที่ปลายประสาทของกระเพาะปัสสาวะ ทำให้อยากถ่ายออกมาโดยกระเพาะปัสสาวะจะบีบตัวให้ปัสสาวะออกมาทางท่อปัสสาวะเป็นครั้งคราว (พิมพรรณ รัตนโกมล . 2539)
ขั้นตอนในการขับถ่ายปัสสาวะ
1. เมื่อน้ำปัสสาวะในกระเพาะปัสสาวะมีประมาณ 250 ลบ.ซม. (พิมพรรณ รัตนโกมล . 2539) จะทำให้กระเพาะปัสสาวะขยายใหญ่เกิดการตรึงตัวของผนังกระเพาะปัสสาวะทำให้ประสาทที่อยู่รอบๆ ส่งกระแสความรู้สึกไปยังไขสันหลังแล้วไปสู่สมองส่วนบนทำให้เกิดความรู้สึกอยากถ่ายปัสสาวะ
2.เมื่อต้องการจะถ่ายปัสสาวะกล้ามเนื้อเรียบของปัสสาวะจะคลายตัวเนื่องจากปฏิกิริยาสะท้อน ( Reflex ) ที่ไขสันหลัง
3.กล้ามเนื้อหูรูดนอกคลายความตึง การทำงานอยู่ใต้อำนาจจิตใจจึงควบคุมการปัสสาวะได้
4. กล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะหดตัวพร้อมด้วยกล้ามเนื้อหูรูดตอนในคลายตัว ปฏิกิริยาสะท้อนนี้อยู่ที่พอนส์ ( Pons ) ทำงานอยู่นอกอำนาจจิตใจสมองส่วนก้านสมองจะควบคุมกระเพาะปัสสาวะหดตัวจนกระทั่งปัสสาวะออกจากกระเพาะปัสสาวะหมด (พิมพรรณ รัตนโกมล . 2539)
น้ำปัสสาวะ
น้ำปัสสาวะโดยปกติจะมีสีใสหรือเหลืองอ่อนๆ มีกลุ่มเฉพาะส่วนมากมีฤทธิ์เป็นกรดอ่อน ซึ่งขึ้นอยู่กับชนิดของอาหารที่รับประทานเข้าไป เช่น ถ้ารับประทานอาหารจำพวกโปรตีนมาก ปัสสาวะจะมีฤทธิ์เป็นกรด ถ้ารับประทานอาหารจำพวกผักมากจะมีฤทธิ์เป็นด่าง มีความถ่วงจำเพาะ 1.003-1.030 ค่า pH 6.0 ( 4.7-8.0 ) (พิมพรรณ รัตนโกมล . 2539) สำหรับผู้ใหญ่ในวันหนึ่งๆ ( 24 ซม. ) (พิมพรรณ รัตนโกมล . 2539) จะถ่ายปัสสาวะประมาณ 2000 ลบ.ซม. จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับจำนวนน้ำดื่ม การเสียเหงื่อมากน้อย สภาพหนาวร้อนของอากาศและมีการใช้ยาขับปัสสาวะหรือไม่หรือโรคไต (พิมพรรณ รัตนโกมล . 2539)


6. บทสรุป
ระบบขับถ่ายปัสสาวะ เป็นระบบหนึ่งในขบวนการกำจัดของเสียออกจากร่างกาย หน้าที่ของระบบนี้คือ พยายามทำให้ร่างกายนี้อยู่ในระบบสมดุล (Homeostasis) โดยการควบคุมความเข้มข้นและปริมาตรของเลือด ปริมาณน้ำ และจำนวนสารละลายต่าง ๆในร่างกาย โดยกำจัดออกมาเมื่อมีมากเกินความจำเป็น และเก็บรักษาไว้เมื่อร่างกายต้องการ
อวัยวะในระบบขับถ่ายปัสสาวะที่สำคัญ ได้แก่
1.ไต(Kidney) มีหน้าที่สำคัญคือ รักษาระบบสมดุล (Homeostasis) โดยอาศัยกระบวนการทำงานของไต (Nephron) 3 กระบวนการ คือ Filtration Reabsorption และ Secretion
2.ท่อไต (Ureter) เป็นเพียงทางผ่านให้ปัสสาวะไหลจากไตเข้าไปพักในกระเพาะปัสสาวะ
3. กระเพาะปัสสาวะ (Urinary bladder ) มีหน้าที่สำคัญคือเป็นที่พักของน้ำปัสสาวะ และช่วยขับถ่ายปัสสาวะให้สมบรูณ์
4.ท่อปัสสาวะ (Urethra ) เป็นทางผ่านของปัสสาวะจากกระเพาะปัสสาวะออกนอกร่างกาย
<strong></strong><strong></strong><strong></strong><strong></strong><strong></strong>

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น